SELIC

พิจารณาการดำเนินธุรกิจของบริษัท ว่าสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องหรือเติบโตอย่างไร และรายได้จากการดำเนินงานดังกล่าวสามารถจัดเก็บได้อย่างเหมาะสมหรือไม่

พิจารณาผลประกอบการของบริษัท ซึ่งสะท้อนความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน

การพิจารณาความสามารถในการทำกำไร โดยดูอัตรากำไรได้ในหลายระดับ ดังนี้

• อัตรากำไรขั้นต้น บอกถึงกำไรที่ได้รับหลังจากหักต้นทุนการผลิตหรือบริการ ซึ่งควรพิจารณาว่ารายได้และต้นทุนการผลิตหรือบริการมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่สอดคล้องกันหรือไม่ และมีผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นอย่างไร

พิจารณาอัตรากำไรในแต่ละระดับว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญและมีเหตุผลสนับสนุนที่เหมาะสมหรือไม่

• อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย คือ กำไรที่มาจากการดำเนินธุรกิจหลัก
• อัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย บอกถึงกำไรที่บริษัทได้รับจากธุรกรรมทั้งหมดไม่ว่าจากธุรกิจหลัก หรือรายการพิเศษ
• อัตรากำไรสุทธิ สะท้อนผลตอบแทนสุทธิที่บริษัทจัดหาได้ในช่วงเวลานั้นๆ

พิจารณากำไร (ขาดทุน) สุทธิของบริษัท ว่าเกิดจากการดำเนินธุรกิจ หรือรายการพิเศษ

พิจารณานโยบายการให้เครดิตแก่ลูกหนี้ การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง และเครดิตที่ได้จากเจ้าหนี้ ว่าอยู่ในระดับปกติหรือไม่

• ระยะเวลาเก็บหนี้ แสดงจำนวนวันที่บริษัทสามารถเรียกเก็บค่าสินค้าหรือบริการได้หลังการขาย การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหมายถึง การเรียกเก็บได้ช้าลง
• ระยะเวลาขายสินค้า สะท้อนถึงจำนวนวันที่บริษัทมีสินค้าคงเหลือเพื่อขาย อาจอยู่ในรูปแบบของ วัตถุดิบ สินค้าระหว่างการผลิต และสินค้าสำเร็จรูป การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หมายถึง บริษัทใช้เงินทุนในการจัดหาสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น
• ระยะเวลาชำระหนี้ แสดงถึง จำนวนวันที่บริษัทจ่ายเจ้าหนี้การค้าหลังจากได้รับสินค้า การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น หมายถึง บริษัทมีการชำระหนี้ช้าลง

(ข้อมูลที่แสดง : เครื่องหมายบวก หมายถึงมีการด้อยค่า; เครื่องหมายลบ (-) หมายถึงเป็นการกลับรายการ)

• การเติบโตของบริษัทสามารถดำเนินการได้หลายรูปแบบ ที่พบได้บ่อยคือ การขยายการลงทุนเอง หรือ การซื้อสินทรัพย์หรือควบรวมบริษัทอื่นที่ดำเนินการอยู่แล้ว การพิจารณามูลค่าสินทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปสะท้อนถึงคุณภาพของสินทรัพย์ดังกล่าวและผลกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัท
• หากสินทรัพย์หรือการลงทุนของบริษัทถูกประเมินด้อยค่า จะส่งผลให้บริษัทต้องบันทึกผลขาดทุนจากการด้อยค่าในงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ และ/หรือ งบกระแสเงินสด

การลงทุนหรือการได้มาซึ่งสินทรัพย์ มูลค่าเงินลงทุนที่บริษัทจ่ายไป บางส่วนอาจถูกบันทึกเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตน หรือ ค่าความนิยม ควรพิจารณาว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ และควรพิจารณาว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของบริษัทอย่างไร