วันที่/เวลา 24 มี.ค. 2568 18:34:00

หัวข้อข่าว

ชี้แจงงบการเงินปี 2567 ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ชี้แจง

หลักทรัพย์ TPL
แหล่งข่าว TPL
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ชี้แจงข่าวหรือข้อมูล เรื่อง : ชี้แจงงบการเงินปี 2567 ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ชี้แจง รายละเอียด : ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ("ตลาดหลักทรัพย์ฯ") ได้มีหนังสือเลขที่ บจ. 30/2568 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2568 ถึงบริษัท ไทยพาร์เซิล จำกัด (มหาชน) ("บริษัทฯ") เกี่ยวกับกรณีที่บริษัทฯ ได้นำส่งงบการเงินประจำปี 2567 มายังตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตกรณีบริษัทฯ ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับทราบข้อมูลสำคัญเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้บริษัทฯ ชี้แจงข้อมูลและเผยแพร่ผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 24 มีนาคม 2568 และกรณีความเห็นของคณะกรรมการบริษัท ขอให้บริษัทฯ ชี้แจงภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568 ดังนี้ 1. ความคืบหน้าเเละแผนการลงทุนในธุรกิจศูนย์กระจายสินค้า เหตุผลในการยกเลิกการซื้อที่ดิน ความคืบหน้าในการติดตามเงินมัดจำและการดำเนินการกับหลักประกัน กรอบเวลาในการดำเนินการแล้วเสร็จ รวมทั้งรายละเอียด ที่ตั้งที่ดินและความสัมพันธ์ของผู้ขายที่ดินกับกลุ่มบริษัท (เช่น ผู้ถือหุ้น กรรมการ และผู้บริหาร) 2. ความคืบหน้าและแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนในบจก.วอลตันฯ (เช่น การก่อสร้างโรงงาน การมีรายได้เชิงพาณิชย์ และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ) 3. ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทเกี่ยวกับ (1) ความสมเหตุสมผลของการจ่ายเงินมัดจำทั้งในด้านของอัตราและเงื่อนไขในการวางหลักประกัน รวมถึงการพิจารณาความสามารถในการดำเนินการตามสัญญาของผู้ขาย ณ วันที่อนุมัติเข้าทำรายการ (2) ผลกระทบต่อแผนการใช้เงิน IPO ในอนาคต การขยายธุรกิจ และความคืบหน้า การลงทุนธุรกิจใหม่เพิ่มเติม (3) มาตรการดูแลการใช้เงิน IPO เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จึงขอชี้แจงในแต่ละหัวข้อดังนี้ 1. ความคืบหน้าเเละแผนการลงทุนในธุรกิจศูนย์กระจายสินค้า เหตุผลในการยกเลิกการซื้อที่ดิน ความคืบหน้าในการติดตามเงินมัดจำและการดำเนินการกับหลักประกัน กรอบเวลาในการดำเนินการแล้วเสร็จ รวมทั้งรายละเอียด ที่ตั้งที่ดินและความสัมพันธ์ของผู้ขายที่ดินกับกลุ่มบริษัท (เช่น ผู้ถือหุ้น กรรมการ และผู้บริหาร) บริษัทฯ ขอเรียนว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการลงทุนในธุรกิจศูนย์กระจายสินค้า ได้แก่ การซื้อที่ดินและก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าและ/หรือจุดให้บริการ และ/หรือโรงงาน หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดที่เกี่ยวข้องหรือเพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยจะใช้วงเงินจากการระดมทุนจากประชาชน (IPO) จำนวนไม่เกิน 190 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 48 ของวงเงิน IPO ภายในปี 2568 โดยบริษัทฯ ได้เข้าศึกษาความเหมาะสมของที่ดินที่มีศักยภาพเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งภายหลังจากที่ได้เข้าทำการศึกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปรากฎว่ามูลค่าของที่ดินที่บริษัทฯ สนใจและได้มีการวางเงินมัดจำตามที่ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตในงบการเงินประจำปี 2567 ของบริษัทฯ มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากที่บริษัทฯ คาดการณ์ บริษัทฯ จึงต้องยกเลิกโครงการดังกล่าว และ ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ในระหว่างการสรรหาที่ดินแห่งใหม่ที่มีศักยภาพ รวมถึงมีภูมิศาสตร์ตำแหน่งที่ตั้ง และราคาที่เหมาะสมต่อการลงทุนเพื่อพัฒนาเป็นศูนย์กระจายสินค้าและ/หรือจุดให้บริการ และ/หรือโรงงาน หรือ สิ่งปลูกสร้างอื่นใดที่เกี่ยวข้องหรือเพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ได้ในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทฯ มีเหตุผลในการยกเลิกการซื้อที่ดินตามที่ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตในงบการเงินประจำปี 2567 ของบริษัทฯ เนื่องจากก่อนที่บริษัทฯ จะเข้าทำบันทึกความเข้าใจฉบับลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ("MOU") เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในศูนย์กระจายสินค้าและ Fulfilment Center บนที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้ขายได้มอบหมายให้บริษัท ศศิภักดิ์ จำกัด ("SASI") ซึ่งเป็นผู้ประเมินทรัพย์สินที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ("สำนักงาน ก.ล.ต.") ประเมินมูลค่าของที่ดินทั้งหมดจำนวน 7 แปลงตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3443, 3444, 3445, 3493, 3494, 3536 และ 3537 เนื้อที่รวมจำนวน 45-0-63.6 ไร่ และตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ซิตี้ ตำบลหัวสำโรง อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยมีผู้ขาย (ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 2.03 ของบริษัทฯ (ข้อมูล ณ วัน XM เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567) แต่มิได้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหรือญาติสนิทหรือมีความสัมพันธ์อื่นใดกับกรรมการ หรือผู้บริหารของบริษัทฯ) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ในการนี้ SASI ได้ระบุมูลค่าของที่ดินดังกล่าวเป็นจำนวน 270,954,000 บาท ในรายงานการประเมินมูลค่าทรัพย์สินฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2567 ซึ่งราคาดังกล่าวเป็นราคาซื้อขายเบื้องต้นของที่ดินที่ผู้ขายเสนอและตกลงร่วมกับบริษัทฯ ภายใต้ MOU โดยสาเหตุที่บริษัทฯ ต้องรีบเข้าทำ MOU กับผู้ขาย เนื่องจากผู้ขายแจ้งว่ามีผู้ให้ความสนใจเข้าลงทุนในที่ดินดังกล่าวหลายรายและได้กำหนดให้บริษัทฯ วางมัดจำภายในเดือนกรกฎาคม 2567 มิฉะนั้นผู้ขายจะเข้าเจรจากับบุคคลอื่นต่อไป อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้ทำ MOU และวางเงินมัดจำแก่ผู้ขาย บริษัทฯ ได้เข้าศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในศูนย์กระจายสินค้าและ Fulfilment Center บนที่ดินแปลงดังกล่าว โดยบริษัทฯ ได้มีการว่าจ้างบริษัท แกรนด์ แอสเซท แอดไวเซอรี่ จำกัด ("GAA") ซึ่งเป็นผู้ประเมินทรัพย์สินที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้ประเมินมูลค่าของที่ดินแปลงดังกล่าวเพิ่มเติม โดย GAA ได้ระบุมูลค่าของที่ดินดังกล่าวเป็นจำนวน 153,540,000 บาท ในรายงานการประเมินมูลค่าทรัพย์สินฉบับลงวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ซึ่งแตกต่างจากมูลค่าของที่ดินที่ประเมินโดย SASI จำนวน 117,141,000 บาท แม้ว่าผู้ประเมินทรัพย์สินทั้งสองรายจะใช้วิธีเปรียบเทียบราคาตลาด (Market Approach) เป็นเกณฑ์ในการประเมินมูลค่าทรัพย์สินเหมือนกันก็ตาม ด้วยเหตุนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารครั้งที่ 1/2568 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2568 จึงได้มีมติยกเลิกการเข้าซื้อที่ดินและยุติการเข้าศึกษาโครงการลงทุนในที่ดินแปลงดังกล่าว และบริษัทฯ จึงได้แจ้งความประสงค์ไม่ซื้อที่ดินเป็นหนังสือฉบับลงวันที่ 3 มกราคม 2568 ไปยังผู้ขายโดยระบุว่าบริษัทฯ จะนำเช็คฉบับลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ได้รับจากผู้ขายเพื่อเป็นการคืนเงินมัดจำไปขึ้นเงินในวันที่ระบุไว้หน้าเช็ค แต่ปรากฏว่าในวันที่ดังกล่าวธนาคารได้ปฏิเสธการชำระเงินตามเช็ค บริษัทฯ จึงได้ส่งหนังสือ บอกกล่าวทวงถามฉบับลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ไปยังผู้ขายเพื่อแจ้งให้ผู้ขายชำระคืนเงินมัดจำคืนพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดในอัตรา ร้อยละ 15 ต่อปีให้แก่บริษัทฯ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ผู้ขายได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามดังกล่าว (กล่าวคือภายในวันที่ 4 มีนาคม 2568) โดยฝ่ายจัดการได้นำความคืบหน้าดังกล่าวไปรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2568 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 พิจารณารับทราบแล้ว อย่างไรก็ดี ผู้ขายมิได้ชำระคืนเงินมัดจำให้แก่บริษัทฯ ภายในวันที่ 4 มีนาคม 2568 ฝ่ายจัดการจึงได้เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2568 พิจารณาอนุมัติการว่าจ้างทนายความเพื่อใช้สิทธิทางกฎหมายของบริษัทฯ ในการเรียกคืนเงินมัดจำจากผู้ขาย โดยบริษัทฯ ยังคงติดตามเรียกคืนเงินมัดจำและจะกำกับให้ทนายความรวบรวมข้อมูลและเร่งดำเนินการเพื่อมิให้สิทธิทางกฎหมา ยของบริษัทฯ ได้รับผลกระทบ และคาดว่าทนายความจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ภายในเดือนเมษายน 2568 2. ความคืบหน้าและแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ลงทุนในบจก.วอลตันฯ (เช่น การก่อสร้างโรงงาน การมีรายได้เชิงพาณิชย์ และผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ) บริษัทฯ ขอเรียนว่าการลงทุนในบจก.วอลตันฯ เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยบริษัทฯ ได้ใช้เงินจำนวน 45 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวงเงินจากการระดมทุนจากประชาชน (IPO) จำนวนไม่เกิน 105 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 27 ของวงเงิน IPO โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีวงเงินคงเหลือสำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่อีกจำนวน 60 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่อื่น ๆ นอกจากการลงทุนในบจก.วอลตันฯ และคาดว่าจะใช้วงเงินคงเหลือจำนวน 60 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในธุรกิจใหม่เสร็จสิ้นภายในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทฯ จะใช้ความระมัดระวังและจะพิจารณาความคุ้มค่าในการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ก่อนที่จะเข้าลงทุนในแต่ละครั้ง โดยจะคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 7.00 ต่อปี หรือต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ รวมถึงความเสี่ยงในการลงทุน และจะปฏิบัติตามกระบวนการพิจารณาอนุมัติการเข้าลงทุนภายใต้คู่มืออำนาจอนุมัติ รวมถึงหลักเกณฑ์ในการเข้าทำรายการได้มาซึ่งสินทรัพย์ หลักเกณฑ์ในการเข้าทำรายการที่เกี่ยวโยงกัน และหลักเกณฑ์ในการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนตามที่สำนักงาน ก.ล.ต. และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศกำหนดอย่างเคร่งครัดต่อไป นอกจากนี้ การเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่เป็นการลงทุนซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2567 ซึ่งมีมติอนุมัติให้มีการเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้เงินเพิ่มทุนที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่ มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เพื่อให้การบริหารจัดการเงินที่ได้รับจากการ IPO นำไปใช้อย่างสมเหตุสมผลและก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่บริษัทฯ และผู้ถือหุ้น ดังนั้น บริษัทฯ จะใช้เงินทุนที่ได้รับจากการ IPO ส่วนหนึ่งเป็นแหล่งเงินทุนในการเข้าลงทุนในธุรกิจใหม่ ที่มีความสามารถในการส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจปัจจุบันของบริษัทฯ เพื่อให้บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างยั่งยืน และสามารถเสริมให้การประกอบธุรกิจของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่งมากขึ้น และบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะยังสามารถรักษาสภาพคล่องของบริษัทฯ ต่อไปได้ และน่าจะได้รับประโยชน์จากการดำเนินธุรกิจใหม่ในอัตราที่มากกว่าต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคตและเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากการดำเนินธุรกิจใหม่และการต่อยอดจากการทำธุรกิจใหม่ ประกอบกับจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้น IPOได้อย่างคุ้มค่า โดยไม่สูญเสียโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่และสร้างรายได้ให้แก่บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นในระยะยาว ซึ่งบริษัทฯ เล็งเห็นว่า อุตสาหกรรมในด้านการประกอบกิจการประเภทขนส่ง ณ ปัจจุบันมีการแข่งขันของธุรกิจที่ค่อนข้างสูงจากผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งทุนไทยและต่างชาติ รวมถึงปัจจัยท้าทายด้านการเพิ่มขึ้นของต้นทุนการขนส่ง ดังนั้น การซื้อที่ดินและก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าและ/หรือจุดให้บริการ และ/หรือโรงงาน หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับหรือเพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจใหม่ และ/หรือการซื้อเงินลงทุนในธุรกิจใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่จะเปิดโอกาสสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับบริษัทฯ โดยบริษัทฯ เห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังเป็นที่ได้รับความนิยม มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศจีน กลุ่มประเทศยุโรป และประเทศสหรัฐฯ ซึ่งในที่สุดจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อประกอบกับการแข่งขันที่สูง ขึ้นและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมรถยนต์ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องรีบหาทางปรับตัว หารูปแบบธุรกิจแบบใหม่และ/หรือร่วมมือกับผู้ประกอบการรายอื่นทั้งในและนอกอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยให้สามารถแข่งขันต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้ จากการที่บริษัทฯ เล็งเห็นความเป็นไปได้ของการลงทุนในธุรกิจใหม่ และคาดว่าธุรกิจดังกล่าวอาจจะส่งผลดี และช่วยในการต่อยอดการประกอบธุรกิจปัจจุบันของบริษัทฯ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวอาจมีความจำเป็นต้องใช้บริการในการขนส่งสินค้า ซึ่งบริษัทฯ สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจและต่อยอดการให้บริการจากกรณีดังกล่าวได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ สร้างผลตอบแทนการลงทุน และส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทฯ บริษัทฯ จึงเลือกลงทุนในบจก.วอลตันฯ ซึ่งเป็น บริษัทฯ ต้นน้ำในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้ ณ วันที่ของหนังสือฉบับนี้ บจก.วอลตันฯ ได้ก่อสร้างโรงงานในจังหวัดชลบุรีเสร็จสิ้นแล้วทั้งหมด และได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 9001:2015 (สำหรับการผลิตตัวควบคุมการจัดการแบตเตอรี่) ISO 14001:2015 (สำหรับการผลิตตัวควบคุมการจัดการแบตเตอรี่และกิจกรรมการจัดการสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง) และ ISO 45001:2018 (สำหรับการผลิตตัวควบคุมการจัดการแบตเตอรี่และกิจกรรมการจัดการความปลอดภัยและสุขภาพอาชีวภาพที่เกี่ยวข้อ ง) แต่ยังคงอยู่ในระหว่างการทดลองเครื่องจักรและกระบวนการผลิตโดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ ได้แก่ การผลิตอุปกรณ์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ สำหรับยานพาหนะ เช่น BMS, DCU, OBC, DC-DC Converter, Inverter Function, และ ECB Function รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้ภายในไตรมาสที่ 2 โดยมีกลุ่มของลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่ม OEM ผู้ผลิต Battery Systems (BMS, PDU) ผู้ผลิต Powertrain Systems (DCU, MUC) และผู้ผลิต Other Support Systems (Lamp, Module, Screen) ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนในอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) ประมาณร้อยละ 24.2 จากเงินลงทุนจำนวน 45 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 6 ปีนับแต่วันที่เข้าลงทุน ลงลายมือชื่อ ___________________________ ( ชัยพิพัฒน์ แก้วไตรรัตน์ ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ผู้มีอำนาจรายงานสารสนเทศ ______________________________________________________________________ สารสนเทศฉบับนี้จัดทำและเผยแพร่โดยบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการเผยแพร่ข้อมูลหรือเอกสารใดๆของบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเท่านั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ในความถูกต้องและครบถ้วนของเนื้อหา ตัวเลข รายงานหรือข้อคิดเห็นใดๆ ที่ปรากฎในสารสนเทศฉบับนี้ และไม่มีความรับผิดในความสูญเสียหรือเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นไม่ว่าในกรณีใด ในกรณีที่ท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อบริษัทจดทะเบียนและบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ซึ่งได้จัดทำ และเผยแพร่สารสนเทศฉบับนี้ หากท่านต้องการดูรายละเอียดสารสนเทศฉบับนี้แบบเต็ม โปรดคลิก "รายละเอียดแบบเต็ม"