ค่าใช้จ่ายโรคร้าย รับมือได้ถ้าวางแผนดีพอ

จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2565 พบว่าประเทศไทยมีจำนวนและสัดส่วนของผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี 2537 มีจำนวนผู้สูงวัยคิดเป็นเพียง 6.8% ของประชากรทั้งประเทศ แต่หากดูข้อมูลล่าสุดในปี 2565 พบว่าจำนวนผู้สูงวัยได้เพิ่มขึ้นถึง 18.3% ของประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ราว 12,116,199 คน

อย่างไรก็ตาม มีคนไทยจำนวนมากที่ประสบปัญหาทางการเงินในช่วงวัยเกษียณ เนื่องจากมีการวางแผนและจัดการทางการเงินในช่วงวัยทำงานที่ยังไม่ดีพอ โดยจากการสำรวจทักษะทางการเงิน (ธนาคารแห่งประเทศไทย ปี 2561) พบว่า แม้คนไทยกว่า 82.8% ได้คิดถึงการออมและการวางแผนการออมเพื่อวัยเกษียณแล้ว แต่มีเพียง 18.6% เท่านั้นที่ทำตามเป้าหมายการออมที่กำหนดไว้ได้จริง โดยมีเพียง 1 ใน 5 เท่านั้น ที่เห็นความสำคัญของการออมและได้ดำเนินการตามแผนการออมเพื่อวัยเกษียณของตัวเอง ผลการศึกษานี้ยังพบว่ากลุ่มคน Gen Z หรือกลุ่มวัยเริ่มทำงาน (เกิดหลังปี 2540) มีแนวโน้มออมเงินน้อยลงสะท้อนจากสัดส่วน 44% ของคน Gen Z เท่านั้นที่มีเงินออม

คำถามที่ตาม คือ หากไม่มีเงินออมจะมีเงินใช้เพียงพอเมื่อเกษียณหรือไม่ เพราะนอกจากเงินที่ต้องเตรียมไว้ใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังเกษียณคงหนีไม่พ้นค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรคร้ายแรงที่คนไทยมีอัตราการเป็นและเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 1 คือ โรคมะเร็ง

ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2563 พบว่ามะเร็งที่พบบ่อยที่สุด 5 อันดับแรกในคนไทยช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป คือ มะเร็งตับ (15.1%) มะเร็งปอด (13.8%) มะเร็งลำไส้ใหญ่ (12.1%) มะเร็งเต้านม (10.3%) และมะเร็งต่อมลูกหมาก (5.3%) ตามลำดับ โดยมีการคาดการณ์ว่าจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป จะเพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่ 160,175 ราย มาอยู่ที่ราว 264,311 รายในปี 2583 หรือเพิ่มขึ้นสูงถึง 65%

ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่าค่ารักษาโรคมะเร็งทุกกระบวนการรักษาอยู่ที่ประมาณ 250,000  –  8,500,000 บาท จากตัวเลขค่ารักษาที่ค่อนข้างสูง จึงต้องวางแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับค่ารักษาที่นับวันจะแพงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่กระทบกับแผนทางการเงินด้านอื่น ๆ หลังเกษียณ

ทั้งนี้ การทำประกันมะเร็งถือเป็นการโอนความเสี่ยงเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาโรคมะเร็งไปยังบริษัทผู้รับประกัน ซึ่งควรทำประกันมะเร็งไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ในวันที่ยังมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงเพื่อไม่ให้โดนปฏิเสธการรับประกันมะเร็ง เนื่องจากหากตรวจพบเชื้อมะเร็งเร็วอาจไม่สามารถทำประกันมะเร็งได้ ด้วยการเลือกแบบประกันมะเร็งที่จ่ายความคุ้มครองเป็นเงินก้อนทันทีเมื่อตรวจพบเชื้อมะเร็ง รวมถึงดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาต่อเนื่องไปตลอดจนครบวงเงิน มีค่าเบี้ยประกันคงที่ ไม่ปรับเพิ่มตามอายุที่เพิ่มขึ้น

ตัวอย่าง

ซื้อประกันมะเร็งตั้งแต่อายุ 33 ปี ค่าเบี้ยประกันต่อปีคงที่ที่ 4,200 บาท ไปตลอดจนถึงอายุ 70 ปี รวมค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไปทั้งสิ้นอยู่ที่ 155,400 บาท (4,200 บาท x 37 ปี) โดยหากตรวจพบเชื้อมะเร็ง บริษัทประกันจะจ่ายความคุ้มครองเป็นเงินก้อนทันทีจำนวน 500,000 บาท พร้อมทั้งดูแลค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งต่อเนื่องไปตลอดจนครบวงเงิน 1,000,000 บาท รวมความคุ้มครองที่ได้รับหลังหักค่าเบี้ยประกันทั้งสิ้นตลอด 37 ปีแล้วอยู่ที่ 1,344,600 บาท

แต่หากเลือกไม่ทำประกันมะเร็งและนำเงินที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันมะเร็งจำนวน 4,200 บาทต่อปีไปลงทุน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งแทน โดยสมมติอัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนทบต้นเฉลี่ย 8% ต่อปี โดยใช้เวลาลงทุน 37 ปีเท่ากัน พบว่าผลตอบแทนจากการลงทุนจะอยู่ที่ราว 852,895 บาท ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับจากการทำประกันมะเร็ง รวมถึงระหว่างทางที่ลงทุน หากเป็นโรคมะเร็งขึ้นมาเงินที่มีอาจไม่เพียงพอในการรักษาโรคมะเร็งด้วย

ดังนั้น แม้ว่าค่ารักษาพยาบาลโรคมะเร็งจะเป็นจำนวนมหาศาลและเป็นเรื่องที่น่ากังวล แต่สามารถวางแผนรับมือได้ โดยการโอนความเสี่ยงด้วยการทำประกันมะเร็ง ที่ให้ความคุ้มครองวงเงินที่สูงเพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งจะทำให้พร้อมเกษียณสุขได้อย่างสบายใจและไร้กังวล