ออมเงินแบบไหนดี? ทำอย่างไรให้สนุก

โดย วริศรา สาระขวัญ AFPT™ ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
TSI-Article-FL-121-how-to-save-money-fun-Thumbnail
Highlight
  • วางแผนและติดตามเป้าหมาย – ตั้งเป้าหมายการออมเงินด้วยหลัก SMART พร้อมใช้ Vision Board และให้รางวัลตัวเองเมื่อบรรลุเป้าหมาย

  • ใช้กฎ 50/30/20 – แบ่งเงินเป็น 50% ค่าใช้จ่ายจำเป็น, 30% ค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข, และ 20% สำหรับเงินออมและการลงทุน

  • ออมเงินให้สนุกขึ้น โดยใช้หลัก Gamification สร้างแรงจูงใจในการเก็บเงิน

การออมเงิน การเก็บเงิน เป็นเป้าหมายทางการเงินที่หลายคนมักหยิบยกไปตั้งเป็นปณิธานในช่วงปีใหม่ (New Year’s Resolution) เพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เช่น การท่องเที่ยว, การซื้อของที่อยากได้ หรือแม้กระทั่งได้ทำงานอดิเรกที่ชอบ  

แต่บางคนอาจกำลังเจอปัญหาที่ทำให้การออมเงินไม่เป็นไปตามเป้าหมาย หรือกำลังรู้สึกถึงความน่าเบื่อและความยากกับการต้องออมเงินที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง บทความนี้จะเผยเคล็ดลับการออมเงินที่ทำให้คุณสนุกขึ้นและทำได้ในระยะยาว 

3 เทคนิคออมเงิน ทำอย่างไรให้ได้ผล

วิธีออมเงินให้ได้ผลจริง ควรมีการวางแผนและใช้เทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ทำได้ง่าย ๆ ด้วย 3 เคล็ดลับต่อไปนี้

1. ตั้งเป้าหมายและติดตามการออมเงิน

การตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนช่วยให้มีทิศทางที่แน่นอนด้วยหลัก SMART เปรียบเสมือนจุดหมายของการเดินทาง มีทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว อาจจัดทำ Vision Board เพื่อให้เราเห็นภาพตัวเองในวันที่บรรลุเป้าหมายนั้นแล้ว โดยเลือกภาพที่มีองค์ประกอบตามเป้าหมายที่ต้องการและจัดวางในที่ที่มองเห็นได้บ่อย ๆ  

 

นอกจากนั้น ให้หมั่นติดตามการออมเงินเป็นระยะ เพื่อเช็กสถานะความคืบหน้าของการออมในแต่ละเป้าหมาย และเมื่อออมเงินได้ตามเป้าหมาย อย่าลืมให้รางวัลกับตัวเอง เช่น เมื่อออมเงินได้ 3 เดือนติดกัน ได้ดูซีรีส์ 1 เรื่อง (มูลค่าของของรางวัลไม่ควรสูงเกินไป จนกระทบกับเงินออมหรือสร้างหนี้สิน)

2. ออมเงินด้วยกฎ 50/30/20

เพื่อป้องกันการหลุดโฟกัสจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อเจอสิ่งล่อตาล่อใจ สามารถใช้กฎ 50/30/20 เป็นแนวทางในการเก็บเงินได้ รายละเอียดดังนี้

  • 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น - เป็นค่าใช้จ่ายที่ขาดไม่ได้ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต อาจเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวัน เช่น ค่าที่อยู่อาศัย, ค่า อาหาร, ค่าเดินทาง, ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าอินเทอร์เน็ต ฯลฯ
  • 30% สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อความสุข - เป็นค่าใช้จ่ายที่อาจไม่จำเป็นมากนัก แต่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายหรือมีความสุขขึ้นได้ เช่น ค่าเสื้อผ้าแฟชั่น, อุปกรณ์เสริมสำหรับการทํางาน, ค่ากิจกรรมเพื่อความบันเทิง ฯลฯ
  • 20% สำหรับเงินออมและการลงทุน – เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างความมั่งคงและมั่งคั่งทางการเงิน เช่น เงินออมฉุกเฉิน, เงินสำหรับลงทุน ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนข้างต้นอาจมีการปรับให้เหมาะกับสถานการณ์การเงินของแต่ละบุคคลได้ อาจเริ่มจากการออมเงิน 10% ของเงินได้ เพื่อเริ่มสร้างนิสัย การออม

TSI-Article-FL-121-how-to-save-money-fun-01

ทั้งนี้ ควรศึกษาเทคนิคการจัดสรรเงินในรูปแบบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การทำงบประมาณแบบเริ่มจากศูนย์ (Zero-Based Budgeting), การตั้งค่าการตัดเงินออมอัตโนมัติ เป็นต้น 

3. เลือกใช้เครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม

เมื่อพูดถึงการเก็บเงิน หลายคนอาจนึกถึงเพียงการฝากเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์และบัญชีฝากประจำ แต่ความจริงแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภทอื่น ๆ (เช่น กองทุนรวม, หุ้น, ตราสารหนี้) ที่เราสามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับเป้าหมายทางการเงิน, ระยะเวลาในการออม และความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ออมเงินอย่างไรให้สนุก

การออมเงินจะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป หากใช้หลัก “Gamification” หรือการนำหลักการหรือกลไกของการเล่นเกมมาปรับใช้ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการออมเงิน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ มาสร้างเป็น “Money Saving Challenge” ของตัวเองกันเถอะ!

TSI-Article-FL-121-how-to-save-money-fun-02

ออมเงินทุกวัน/ทุกสัปดาห์/ทุกเดือน

เหมาะกับมือใหม่มากที่สุด เพราะเป็นการกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการออมในแต่ละช่วงเวลา วิธีการง่าย ไม่ซับซ้อน เช่น เก็บเงิน 50 บาททุกวัน, เก็บเงิน 1,000 บาททุกสัปดาห์, เก็บเงิน 5,000 บาททุกเดือน เป็นต้น ซึ่งสามารถกำหนดจำนวนเงินได้ตามความสามารถและสภาพคล่องทางการเงินของตัวเอง

ออมเงินตามวันที่

เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างแรงจูงใจและเพิ่มความสนุกในกับการออมเงินในแต่ละวัน ทำได้ 2 รูปแบบ ดังนี้ 

รูปแบบที่ 1 : กำหนดจำนวนเงินออมให้ตรงกับวันที่นั้น ๆ เช่น วันที่ 1 เก็บเงิน 1 บาท, วันที่ 2 เก็บเงิน 2 บาท และทำต่อไปเรื่อย ๆ จะทำให้มีเงินออมทั้งหมด 5,738 บาทต่อปี  

รูปแบบที่ 2 : ทำเป็นตารางการออมเงินจากวันที่ 1 - วันที่ 365 วิธีนี้จะทำให้มีเงินออมทั้งหมด 66,795 บาทต่อปี

ออมเงินโดยเก็บธนบัตรที่ชอบ

เหมาะกับผู้ที่ถนัดใช้เงินสด, ผู้ที่ได้รับเงินสดในชีวิตประจำวัน โดยเลือกธนบัตรที่ชื่นชอบหรือมักพบในชีวิตประจำวัน เช่น การเก็บแบงก์ 50 ช่วยเพิ่มความสนุกในการออมด้วยการลุ้นว่าวันนี้จะมีแบงก์ 50 ผ่านมือบ้างไหม อาจตั้งเป้าหมายเพิ่มว่าต้องสะสมให้ได้กี่ใบ เช่น สะสมแบงก์ 50 บาท จำนวน 100 ใบ ซึ่งจะสามารถเก็บเงินได้ 5,000 บาท

ออมเงินโดยเก็บเงินตามส่วนลดที่ได้จากการชอปปิง

เหมาะกับคนที่ชอบชอปปิงและมักหาดีลส่วนลดอยู่เสมอ โดยทุกครั้งที่ซื้อของและได้ส่วนลด ให้นำจำนวนเงินที่ประหยัดได้จากส่วนลดนั้นมาเก็บออม เช่น ซื้อของราคาปกติ 1,000 บาท ได้รับส่วนลด 30% ทำให้จ่ายเงินจริง 700 บาท ดังนั้น ให้เก็บเงินเท่ากับจำนวนเงินที่ประหยัดได้ นั่นคือ 300 บาท นอกจากจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการออมเงินแล้ว ยังสร้างแรงจูงใจให้หาดีลส่วนลดมากขึ้น ซึ่งทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วย

ออมเงินโดยเก็บเงินตามเลขท้าย 2 ตัว

เหมาะกับผู้ที่ชอบเสี่ยงดวง โดยกำหนดการออมเงินจากเลขท้าย 2 ตัว แล้วนำตัวเลขนั้นมาเป็นจำนวนเงินที่ต้องออม เช่น เลขท้าย 2 ตัวออก 50 ให้ออมเงิน 50 บาท และสำหรับผู้ที่มีกำลังออมมากกว่า เพื่อเพิ่มความท้าทาย สามารถออมเงินเพิ่มด้วยการคูณ เช่น คูณ 100 ทำให้ออมเงินเป็น 5,000 บาท

ใช้เทคโนโลยีช่วยบันทึกและติดตามการออมเงิน

ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันที่เกี่ยวกับการออมเงินมากมาย ช่วยให้การบันทึกและติดตามการออมเงินง่ายขึ้น เช่น แอป Happy Money ที่มีฟีเจอร์การตั้งงบ ประมาณ (Budget) และการติดตามรายได้, ค่าใช้จ่าย, การออมและการลงทุน

การออมเงินเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน, ใช้กฎ 50/30/20 ในการจัดสรรเงิน และเลือกเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม นอกจากนั้น ยังสามารถทำให้การออมเงินสนุกขึ้นได้ โดยใช้หลัก “Gamification” เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเก็บเงิน

เรียนรู้การวางแผนการออมเงิน ฟรี! บน SET e-Learning



แท็กที่เกี่ยวข้อง: เริ่มต้นวางแผน

บทความที่เกี่ยวข้อง