ตั้งสติ ก่อนจมลึกในวงจรหนี้

โดย ฐิติเมธ โภคชัย ฝ่ายพัฒนาความรู้ผู้ลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
TSI_Article_FL_119_Thumbnail
Highlight
  • การเป็นหนี้กลายเป็นเรื่องปกติในยุคที่ค่าครองชีพสูง แต่หนี้ที่ควบคุมไม่ได้สามารถนำไปสู่ปัญหาทางการเงิน โดยมีสัญญาณเตือน เช่น การใช้จ่ายเกินรายได้ ไม่มีเงินออม เป็นต้น

  • การแก้ไขหนี้ควรเริ่มจากการยอมรับความจริง หยุดก่อหนี้เพิ่ม ทำรายการและจัดลำดับความสำคัญของหนี้ เจรจากับเจ้าหนี้ หารายได้เพิ่ม และวางแผนชำระหนี้

  • หลบเลี่ยงหนี้ด้วยการสร้างงบประมาณและนิสัยการออม ใช้กฎ 50/30/20 ในการจัดสรรเงิน ใช้บัตรเครดิตอย่างรอบคอบ และสร้างเงินออมเผื่อฉุกเฉิน เพื่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูง รายได้วิ่งไม่ทันราคาข้าวของ การเป็นหนี้กลายเป็นเรื่องปกติของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้บ้าน หนี้รถ หรือแม้แต่หนี้จากการลงทุนที่พลาดพลั้ง หลายคนพบว่าตัวเองกำลังจมอยู่ในวงจรหนี้ที่ดูเหมือนไม่มีทางออก

 

จะว่าไปแล้วหนี้ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ในหลายกรณี การก่อหนี้อย่างมีวินัยสามารถช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น เช่น การกู้ซื้อบ้าน แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถควบคุมหนี้ได้ และตกอยู่ในวงจรหนี้ แต่อย่าเพิ่งท้อ เพราะในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส หลายคนที่เคยจมอยู่ในหนี้ก้อนโต สามารถหาทางออกและประสบความสำเร็จในการปลดหนี้ได้

 

สัญญาณเตือนก่อนเข้าสู่วงจรหนี้

  • การใช้บัตรเครดิตเกินตัว เป็นสัญญาณอันตรายอันดับต้น ๆ ของการเข้าสู่วงจรหนี้ หากพบว่าตัวเองกำลังใช้บัตรเครดิตเพื่อซื้อของที่ไม่จำเป็น ชอปปิงของฟุ่มเฟือย ชำระแต่ยอดขั้นต่ำทุกเดือน หรือถอนเงินสด ถือเป็นสัญญาณว่ากำลังสร้างภาระหนี้ที่อาจควบคุมไม่ได้ในอนาคต เพราะทำให้ดอกเบี้ยทบต้นและยอดหนี้พอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ

 

  • รายได้ไม่พอกับรายจ่าย หมายถึงกำลังใช้เงินเกินตัว สัญญาณนี้มักเริ่มจากการที่ต้องกู้ยืมเงินเพื่อใช้จ่าย หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แสดงว่ากำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงิน

 

  • ไม่มีเงินออม เป็นสัญญาณเตือนภัยที่สำคัญ เพราะหมายความว่าไม่มีเงินสำรองสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เช่น ค่ารักษาพยาบาล ตกงานกะทันหัน เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้อาจต้องพึ่งพาการกู้ยืมเงิน ซึ่งนำไปสู่การเป็นหนี้ การไม่มีเงินออมยังสะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสม หรือการขาดวินัยทางการเงิน

 

  • หนี้สินมากกว่า 40 - 45% ของรายได้ ในแต่ละเดือนควรผ่อนหนี้ได้ไม่เกิน40 - 45% ของรายได้ หากเกินกว่านี้ ถือว่าอยู่ในจุดเสี่ยง หมายความว่ากำลังใช้เงินส่วนใหญ่ไปกับการชำระหนี้ ทำให้เหลือเงินน้อยสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ และการออม อาจนำไปสู่การก่อหนี้เพิ่มเพื่อรักษาระดับการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวงจรหนี้

 

  • การกู้เงินเพื่อชำระหนี้เก่า เมื่อต้องกู้เงินใหม่เพื่อชำระหนี้เก่า แสดงว่ากำลังเข้าสู่วงจรหนี้อย่างเต็มตัว การแก้ปัญหาแบบนี้อาจดูเหมือนเป็นทางออกในระยะสั้น แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นเพียงแค่เลื่อนปัญหาออกไปและอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงในระยะยาว เพราะอาจเผชิญกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้นหรือเงื่อนไขการกู้ยืมที่เข้มงวดมากขึ้น

 

  • ความเครียดเรื่องการเงิน เป็นสัญญาณเตือนทางจิตวิทยาที่สำคัญ หากรู้สึกเครียดหรือวิตกกังวลเกี่ยวกับการเงินบ่อย ๆ เป็นสัญญาณว่ากำลังมีปัญหาทางการเงิน อาจแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ เช่น นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย หรือมีปัญหาสุขภาพ และมีโอกาสนำไปสู่การตัดสินใจทางการเงินที่ผิดพลาด เช่น กู้เงินนอกระบบ การพนัน หรือการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเพื่อหวังรวยทางลัด ซึ่งอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก

 

เมื่อพลาดพลั้งเข้าสู่วงจรหนี้

  • ยอมรับความจริง เป็นก้าวแรกในการแก้ไขสถานการณ์ อย่าหลีกหนีหรือเพิกเฉยต่อปัญหา แต่การยอมรับความจริงจะช่วยให้มีสติและพร้อมที่จะหาทางออก อย่าโทษตัวเองหรือคนอื่น แต่ให้มองว่านี่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางการเงิน และการยอมรับปัญหาจะช่วยลดความเครียดและทำให้สามารถมองหาความช่วยเหลือได้อย่างเปิดเผย

 

  • หยุดก่อหนี้เพิ่ม เช่น หลีกเลี่ยงการใช้สินเชื่อทุกรูปแบบ ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ใช้เงินสดหรือบัตรเครดิต และตั้งกฎเหล็กกับตัวเองว่าจะไม่ก่อหนี้เพิ่มไม่ว่าในกรณีใด ๆ

 

  • ทำรายการหนี้ทั้งหมด โดยระบุยอดหนี้คงเหลือ อัตราดอกเบี้ย และกำหนดชำระขั้นต่ำของแต่ละรายการ เพื่อให้เห็นภาพรวมสถานการณ์ทางการเงินอย่างชัดเจน จะช่วยในการวางแผนชำระหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  • จัดลำดับความสำคัญของหนี้ ควรเริ่มจากการชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เช่น หนี้บัตรเครดิตหรือหนี้นอกระบบ เพื่อลดภาระดอกเบี้ยโดยรวม อย่างไรก็ตาม หากมีหนี้ที่มีผลกระทบรุนแรงต่อชีวิต เช่น หนี้ค่าน้ำค่าไฟที่อาจถูกตัดบริการ ควรให้ความสำคัญกับหนี้เหล่านี้ก่อน

 

  • เจรจากับเจ้าหนี้ ติดต่อเจ้าหนี้เพื่อเจรจาเงื่อนไขการชำระหนี้ เพราะแสดงถึงความตั้งใจที่จะชำระหนี้ ทำให้เจ้าหนี้อาจยินดีปรับโครงสร้างหนี้ ลดดอกเบี้ย พักชำระหนี้ชั่วคราวหรือการลดยอดหนี้

 

  • หารายได้เพิ่ม หางานพาร์ตไทม์หรือฟรีแลนซ์นอกเวลางานปกติจากทักษะที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น สอนพิเศษ ทำขนมขาย หรือขายของออนไลน์ รวมถึงขายของที่ไม่จำเป็นหรือไม่ได้ใช้แล้ว จากนั้นก็นำรายได้มาชำระหนี้

 

  • สร้างแผนการชำระหนี้ที่เป็นไปได้ สร้างแผนการชำระหนี้ โดยกำหนดจำนวนเงินที่จะชำระหนี้ในแต่ละเดือน ตั้งเป้าหมายระยะสั้นและระยะยาว ติดตามความคืบหน้าของแผน ทบทวนและปรับแผนเป็นประจำทุกเดือน

 

วิธีการหลีกเลี่ยงการเข้าสู่วงจรหนี้

  • สร้างงบประมาณและยึดมั่นในวินัยทางการเงิน เริ่มจากจดบันทึกรายรับและรายจ่ายอย่างละเอียด แล้วแบ่งหมวดหมู่ค่าใช้จ่ายเป็นส่วนที่จำเป็นและไม่จำเป็น จากนั้นตั้งเป้าหมายการใช้จ่ายในแต่ละหมวดหมู่ และพยายามทำตามอย่างเคร่งครัด ทบทวนงบประมาณเป็นประจำทุกเดือนเพื่อปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง การมีวินัยในการทำตามงบประมาณจะช่วยให้ควบคุมการใช้จ่ายและหลีกเลี่ยงการสร้างหนี้ที่ไม่จำเป็น

 

  • สร้างนิสัยการออม เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุดในการป้องกันการเป็นหนี้ เริ่มต้นด้วยการออมเงินอย่างน้อย 15% ของรายได้ทุกเดือน โดยให้หักเงินออมทันทีที่ได้รับเงินเดือน ก่อนที่จะใช้จ่ายส่วนอื่น และพยายามเพิ่มสัดส่วนการออมขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น

 

  • ใช้กฎ 50/30/20 เป็นแนวทางการจัดสรรเงินที่มีประสิทธิภาพ โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น (เช่น ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ) 30% สำหรับความต้องการ (เช่น ค่าบันเทิง ชอปปิง) และ 20% สำหรับการออมและการลงทุน จะช่วยให้มีความสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตในปัจจุบันและการวางแผนสำหรับอนาคต ทำให้มีเงินเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น มีความสุขกับการใช้เงิน และสามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

 

  • ใช้บัตรเครดิตอย่างรอบคอบ บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีประโยชน์ แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง ใช้บัตรเครดิตเฉพาะเมื่อจำเป็น และต้องมั่นใจว่าสามารถชำระยอดเต็มได้ทุกเดือน หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตสำหรับค่าใช้จ่ายประจำวันเพื่อสะสมคะแนน เพราะอาจนำไปสู่การใช้จ่ายเกินตัว ไม่ใช้บัตรเครดิตในการกดเงินสดล่วงหน้า เพราะมีดอกเบี้ยที่สูงมาก ตั้งวงเงินการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไม่เกิน 30% ของรายได้ และติดตามยอดใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ

 

  • สร้างเงินออมเผื่อฉุกเฉิน พยายามเก็บเงินให้ได้อย่างน้อย 3 - 6 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ เช่น 1 เดือนของค่าใช้จ่าย แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ควรเก็บเงินก้อนนี้ไว้ในบัญชีที่เข้าถึงได้ง่าย เช่น บัญชีออมทรัพย์ และใช้เงินเฉพาะในกรณีจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น เช่น ตกงาน หรือค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน และเมื่อใช้ไปแล้วให้รีบเติมให้เต็มโดยเร็วที่สุด

 

การรู้เท่าทันก่อนตัดสินใจก้าวเข้าสู่วงจรหนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องการระมัดระวังหรือกลัวที่จะเป็นหนี้ แต่เป็นการเข้าใจและใช้หนี้อย่างเป็นขั้นตอน อย่าลืมว่าการมีหนี้ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป หากรู้จักใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงในอนาคต

สำหรับใครที่สนใจ เรียนรู้การบริหารจัดการหนี้ วิธีการแก้หนี้ และการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “เป็นหนี้แล้วจัดการยังไง” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่


บทความที่เกี่ยวข้อง