เมื่อถึงเทศกาลวันแม่ ลูก ๆ อาจมองหาของขวัญพิเศษมอบให้คุณแม่ นอกจากดอกมะลิ การพาไปทานข้าวมื้อพิเศษ หรือการเลือกซื้อ “ประกันชีวิต” ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ แต่หลายคนรู้สึกปวดหัวกับการเลือกประกันชีวิตให้ผู้สูงวัย เพราะเงื่อนไขอาจซับซ้อน จึงมีความกังวลว่าจะเลือกผิดพลาดจากเป้าหมายที่ตั้งใจ
อย่างไรก็ตาม การทำประกันไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อนตัดสินใจ ควรใช้เวลาศึกษาข้อมูลให้ดี ที่สำคัญที่สุด คือต้องคุยกับคุณแม่ด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว คุณแม่ควรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วย แต่ก่อนอื่นควรทำความเข้าใจว่าทำไมการทำประกันชีวิตถึงสำคัญสำหรับคุณแม่
5 เทคนิคเบื้องต้นเลือกประกันให้คุณแม่
อาจฟังดูแปลกเพราะลูกน่าจะรู้จักคุณแม่ดีอยู่แล้ว แต่ก่อนทำประกันควรทำความรู้จักในแง่ของความต้องการทางการเงินและสุขภาพ เช่น คุณแม่มีโรคประจำตัวอะไรบ้าง คุณแม่มีรายได้และค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไร คุณแม่มีเงินออมมากน้อยแค่ไหน คุณแม่มีภาระหนี้สินอะไรบ้าง ซึ่งการรู้ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เลือกแบบประกันและวงเงินคุ้มครองที่เหมาะสมได้ดียิ่งขึ้น
สำหรับคุณแม่ที่อายุ 50 ปีขึ้นไป อาจทำประกันประเภทบำนาญหรือประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ เพราะนอกจากจะได้ความคุ้มครองชีวิตแล้ว ยังมีเงินก้อนไว้ใช้ยามเกษียณด้วย แต่หากคุณแม่อายุน้อยกว่า 50 ปี อาจพิจารณาประกันแบบตลอดชีพ ซึ่งให้ความคุ้มครองยาวนานกว่าและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าในระยะยาว
หลายคนมักมองข้ามประกันสุขภาพ แต่จริงๆ แล้วมีความสำคัญมากสำหรับคุณแม่ โดยเฉพาะในยุคที่ค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้นเรื่อย ๆ จึงควรหาแบบประกันที่รวมความคุ้มครองสุขภาพด้วย หรือซื้อประกันสุขภาพแยกต่างหาก โดยพิจารณาว่าครอบคลุมโรคที่คุณแม่มีความเสี่ยงหรือไม่ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น
การเลือกวงเงินคุ้มครองเป็นเรื่องสำคัญมาก หากน้อยไปอาจไม่เพียงพอ แต่หากมากไปก็อาจเป็นภาระค่าเบี้ยประกันที่สูงเกินไป วิธีคำนวณง่าย ๆ คือ ประมาณการค่าใช้จ่ายของคุณแม่ต่อปีคูณด้วยจำนวนปีที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ แล้วบวกเพิ่มอีก 20 - 30% สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต
ตัวอย่าง คุณแม่มีค่าใช้จ่ายปีละ 300,000 บาท และคาดว่าจะมีชีวิตอีก 20 ปี วงเงินคุ้มครองที่เหมาะสม คือ 300,000 x 20 = 6,000,000 บาท
6,000,000 + 30% = 7,800,000 บาท
อย่าเพิ่งตัดสินใจซื้อประกันจากบริษัทแรกที่เสนอมา ควรเปรียบเทียบข้อเสนอจากบริษัทประกันอื่น ๆ โดยพิจารณาเรื่องความคุ้มครอง เงื่อนไข และราคา เพราะอาจได้รับโปรโมชั่นพิเศษสำหรับวันแม่ด้วย
เลือกประกันตามช่วงอายุของคุณแม่
ควรเลือกประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ระยะยาว 20 - 30 ปี ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ประกันโรคร้ายแรง เพราะคุณแม่ยังทำงานได้ การทำประกันระยะยาวจะช่วยให้ได้เบี้ยประกันที่ถูกลง และมีโอกาสสะสมเงินได้มากขึ้น ส่วนประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงจะช่วยรองรับความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตามวัย
ควรเลือกประกันชีวิตแบบบำนาญ ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายวงเงินสูง ประกันอุบัติเหตุ ควรเน้นการวางแผนการเงินหลังเกษียณ ประกันบำนาญจะช่วยให้มีรายได้ประจำในยามชรา ส่วนประกันสุขภาพวงเงินสูงจะช่วยรองรับค่ารักษาพยาบาลที่อาจสูงขึ้น และประกันอุบัติเหตุจะช่วยคุ้มครองความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เช่น การหกล้ม ซึ่งพบบ่อยในผู้สูงอายุ
ควรเลือกประกันชีวิตแบบคุ้มครองตลอดชีพ ประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ประกันการดูแลระยะยาว (Long Term Care) โดยวัยนี้อาจหาซื้อประกันได้ยากขึ้น แต่ก็ยังมีบางบริษัทที่รับทำประกันให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะประกันการดูแลระยะยาว ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายหากคุณแม่ต้องการการดูแลพิเศษในอนาคต
นอกจากนี้ ลูก ๆ อาจพิจารณาการทำประกันแบบพิเศษให้คุณแม่ คือ การทำประกันแบบจ่ายเบี้ยครั้งเดียว (Single Premium) โดยที่ข้อที่น่าสนใจ คือ
การทำประกันให้คุณแม่ ไม่ใช่แค่เรื่องของเงิน แต่เป็นการแสดงความรักและความห่วงใยที่ลูก ๆ มีต่อท่าน หากวันหนึ่งคุณแม่เกิดอุบัติเหตุหรือเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่ประกันจะช่วยจ่ายค่ารักษาได้ คุณแม่จะรู้สึกอุ่นใจและมีกำลังใจในการรักษาตัว หรือหากคุณแม่เกษียณแล้ว แต่ยังมีเงินบำนาญจากประกันใช้ทุกเดือน ท่านจะมีความสุขในบั้นปลายชีวิต ดังนั้น การทำประกันให้คุณแม่ จึงไม่ใช่แค่การลงทุน แต่เป็นการลงทุนด้วยหัวใจ เป็นการมอบของขวัญล้ำค่าที่จะอยู่กับท่านไปตลอดชีวิต
บทความที่เกี่ยวข้อง