ประกันสังคม คือ การสร้างหลักประกันในการดำรงชีวิตในกลุ่มของสมาชิก (เรียกว่า ผู้ประกันตน) ที่มีรายได้ และจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ เสียชีวิต สงเคราะห์ชราภาพ และการว่างงาน เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาล และมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยผู้ประกันตน คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ แต่ถ้าลูกจ้างอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ แต่นายจ้างยังจ้างให้ทำงานต่อให้ถือเป็นผู้ประกันตนต่อไป โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
ซึ่งตามข้อกำหนดของประกันสังคมได้กำหนดไว้ว่า “นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป จะต้องขึ้นทะเบียนนายจ้าง พร้อมกับขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนด้วยกับทางประกันสังคม โดยต้องขึ้นทะเบียนภายใน 30 วัน นับตั้งแต่มีการจ้างงาน เมื่อมีการจ้างลูกจ้างใหม่ก็จะต้องแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างใหม่ภายในกำหนด 30 วัน เช่นเดียวกัน และนายจ้างจะต้องเป็นผู้หักเงินสมทบในส่วนของลูกจ้างทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง โดยต้องมีการคำนวณเงินสมทบค่าจ้าง ฐานของเงินค่าจ้างขั้นต่ำตั้งแต่ 1,650 บาท แต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยลูกจ้างจะถูกหักจ้างเงินเดือน 5% ตามด้วยเจ้าของกิจการ (นายจ้าง) จ่ายสมทบ 5% และรัฐบาลจ่ายสมทบอีก 2.75%
เมื่อมีลูกจ้างลาออกไป นายจ้างก็มีหน้าที่ต้องแจ้งเอาชื่อลูกจ้างออกจากประกันสังคมด้วยเช่นเดียวกัน โดยต้องระบุสาเหตุของการออกจากงาน ต้องแจ้งภายใน 15 วันของเดือนถัดไปหักเงินสมทบและนำส่งประกันสังคม” นายจ้างที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับประกันสังคม ทำให้ลูกจ้างไม่ได้เป็นผู้ประกันตน และไม่ได้รับสิทธิจากประกันสังคมนั้น ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ นายจ้างถือว่ามีความผิด
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ หากนายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้ลูกจ้าง ไม่ว่าจะเป็นเพราะนายจ้างไม่จ่ายเงินเดือน หรือนายจ้างจ่ายเงินเดือนแต่ไม่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้ลูกจ้าง จะเป็นอย่างไร
สำหรับนายจ้างถือว่ามีความผิด ระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับลูกจ้าง เกี่ยวกับเรื่องนี้ ใครที่ทำงานฟรีไม่ได้รับเงินเดือน หรือนายจ้างไม่จ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้ สบายใจได้นะ เพราะเรื่องนี้เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัดสินไว้เป็นบรรทัดฐาน ดังนี้
คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๓๕๑/๒๕๖๑ (คดีฟ้องสำนักงานประกันสังคม) เรื่อง กรณีที่นายจ้างค้างจ่ายค่าจ้าง ต้องถือว่าผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบแล้ว เมื่อนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างจำนวน ๘ เดือน ลูกจ้างส่งเงินสมทบ ๑๗๕ เดือน รวมแล้วลูกจ้างจึงส่งเงินสมทบทั้งสิ้น ๑๘๓ เดือน ต้องรับบำนาญชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๗๗ ทวิ วรรคหนึ่ง
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างบริษัท ร. จำกัด ต่อมาโจทก์สิ้นสภาพความเป็นผู้ประกันตน ในวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๗ รวมระยะเวลาที่โจทก์จ่ายเงินสมทบ ๑๗๕ เดือน โจทก์ยื่นคำขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพต่อสำนักงานประกันสังคม สำนักงานประกันสังคมมีคำสั่งให้โจทก์ได้รับเงินบำนาญชราภาพ โจทก์ไม่เห็นด้วยเพราะโจทก์ส่งเงินสมทบเพียง ๑๗๕ เดือน โจทก์อุทธรณ์ คณะกรรมการอุทธรณ์ วินิจฉัยยกอุทธรณ์ โจทก์จึงฟ้องคดีขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยและมีคำสั่งให้จำเลยจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณี ชราภาพแก่โจทก์เป็นเงินบำเหน็จชราภาพ ศาลแรงงานภาค ๒ พิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาเห็นว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๔๗
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว เป็นบทบัญญัติที่กำหนดให้นายจ้างหักค่าจ้างนำส่งเงินสมทบในส่วนของ ผู้ประกันตน จึงต้องแปลความหมายของบทบัญญัติทั้งสามวรรคไปในทำนองเดียวกัน
โดยนายจ้างต้องรับผิดชำระหนี้เงินสมทบดังกล่าวต่อจำเลยตามมาตรา ๔๗ ทวิ และมาตรา ๕๐ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่านายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๒ – ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ จำนวน ๘ เดือน โจทก์จึงส่งเงินสมทบรวมทั้งสิ้น ๑๘๓ เดือน ต้องรับบำนาญชราภาพตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ มาตรา ๗๗ ทวิ วรรคหนึ่ง พิพากษายืน
สรุปก็คือ เมื่อเราทำงาน ไม่ว่านายจ้างจะจ่ายค่าจ้างเราหรือไม่ หรือนายจ้างจ่ายค่าจ้างแต่ไม่ได้ส่งเงินสมทบประกันสังคม ตามกฎหมายก็ถือว่านายจ้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมให้เราตามระยะเวลาที่เราทำงาน ส่วนเรื่องที่นายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นเรื่องระหว่างนายจ้างกับกองทุนประกันสังคมครับ โดยกรณีนายจ้างไม่นำส่งเงินสมทบประกันสังคม มีความผิดดังนี้
ยกตัวอย่างเช่น ค่าจ้างงวดเดือนมีนาคม นายจ้างจะต้องหักเงินสมทบและนำส่งประกันสังคมภายในวันที่ 15 เมษายน แต่นายจ้างจ่ายเงินสมทบประกันสังคมในวันที่ 30 เมษายน ดังนั้นนายจ้างจะต้องจ่ายเงินเพิ่มร้อยละ 2 เป็นเวลา 15 วัน (ครึ่งเดือน)
หากเราไม่สบายใจ ไม่แน่ใจว่าเรายังเป็นสมาชิกหรือไม่ เราก็สามารถตรวจสอบข้อมูลสิทธิประกันสังคม ได้ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เข้า Google พิมพ์คำว่า “ประกันสังคม” จากนั้นกดเข้าเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม https://www.sso.go.th
ขั้นตอนที่ 2 กรอกรหัสประจำตัวประชาชน 13 หลักและรหัสผ่าน จากนั้นกด “เข้าสู่ระบบ” (กรณียังไม่ได้ลงทะเบียน ก็ต้องสมัครสมาชิกก่อนนะ)
ขั้นตอนที่ 3 กดที่ไอคอน “เข้าสู่ระบบ”
ขั้นตอนที่ 4 สามารถตรวจสอบข้อมูลของเราได้
บทความที่เกี่ยวข้อง