การที่หุ้นไทยไปไม่ถึงไหนในช่วงสองปีที่ผ่านมา ขึ้นไปแล้วก็ลงมา วนอยู่ในระดับ 1,550-1,690 จุด ประกอบกับการมีช่องทางการลงทุนในกองทุน และหุ้นต่างประเทศสะดวกขึ้นเยอะ หลายประเทศมีจุดเด่นหลายอย่างที่เราขาดไป เช่น การมีหุ้นเทคโนโลยีแบบหุ้นที่สหรัฐอเมริกา หรือการที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างโดดเด่นแบบเวียดนาม ทำให้ 2-3 ปีมานี้ นักลงทุนไทยแบ่งเงินไปลงทุนในกองทุนและหุ้นต่างประเทศอย่างมากมาย
อย่างไรก็ตาม หลังจากหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา และหุ้นของเวียดนามวิ่งขึ้นอย่างน่าตื่นตะลึง จนผู้ลงทุนต้องยิ้มกว้างแบบตะโกนในปี 2564 แต่เมื่อถึงปี 2565 หุ้นเทคโนโลยีอเมริกา และหุ้นเวียดนามต่างก็ทรุดตัวลงจากจุดสูงสุดอย่างรุนแรงกว่า 30% ด้วยปัญหากังวลเศรษฐกิจโลกถดถอย อัตราดอกเบี้ยพุ่งขึ้น และมาตรการดูดเงินออกจากระบบการเงินโดยธนาคารกลางของประเทศใหญ่ นำโดยสหรัฐอเมริกา โดยเวียดนามก็มีความกังวลเพิ่มเติมมาอีกในภาคอสังหาริมทรัพย์
ในขณะที่หุ้นไทยกลับ Outperform ในปี 2565 ส่วนหนึ่งเพราะหุ้นเรายังไม่ได้ขึ้นเลย จึงไม่มีช่วงให้ลง และได้ผลดีจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยืดเวลาการขึ้นดอกเบี้ย และสุดท้ายก็ปรับขึ้นทีละน้อย จนช่วงเงินเฟ้อสูงผ่านไปเอง รวมถึงไทยมีโชคดีหลังคราวเคราะห์ ที่ความคาดหวังจากภาคท่องเที่ยวเริ่มฟื้นขึ้นมา รวมถึงมีกำหนดเลือกตั้งใหม่ในปี 2566 ที่สร้างความคาดหวังเป็นอย่างมากว่า เศรษฐกิจจะคึกคักและฟื้นตัวขึ้นไปประชันความงามกับประเทศในแถบอาเซียนได้อีกครั้ง
ผมคิดว่า ปีนี้คนไทยจำนวนมาก เริ่มหันกลับมาพิจารณาหุ้นในประเทศมากขึ้นแล้ว เพราะประเด็นข้างต้น ประกอบกับได้พบแล้วว่า แม้หุ้นต่างประเทศจะมี Theme ที่น่าสนใจ และสามารถทะยานขึ้นแบบตะลึง แต่ถึงจุดหนึ่ง หนีไม่พ้นหลักธรรมชาติของหุ้น ที่ว่า เคยขึ้นเร็วก็ลงเเรง นอกจากนั้น ต้นทุนการลงทุนหุ้นต่างประเทศก็สูงกว่า รวมถึงมีความเสี่ยง(และโอกาส) จากค่าเงินให้ต้องลุ้นอีกเรื่องด้วย
วันนี้ ผมจึงขอแนะนำช่องทางที่ดีที่สุดในการค้นหาหุ้นในประเทศ โดยอ้างอิงจากข้อมูล IAA Consensus ที่สมาชิกสมาคมนักวิเคราะห์ฯ ร่วมกันส่งข้อมูลมารวมไว้ในเว็บไซต์ settrade.com กว่า 300 หุ้น เพื่อให้นักลงทุนได้ลองไปอ่านบทวิเคราะห์เพื่อคัดเลือกหุ้นไทยเพิ่มเติมต่อไป
ผมแนะนำให้นักลงทุนเริ่มต้นจากการกำหนด Theme การลงทุนในหุ้นไทย โดยมองภาพใหญ่เศรษฐกิจที่มีสำนักวิเคราะห์ทำไว้มากมาย สรุปคือ การเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 3.5% ปีนี้ และควรจะมากขึ้นในปีต่อไป โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการท่องเที่ยวที่ขยายตัวกลับไปใกล้ระดับก่อนโควิด เราอาจต้องคาดเดาความสามารถของรัฐบาลชุดใหม่ในการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญในครึ่งปีหลังและปีหน้าด้วย สมมติเราคาดว่าจะดีขึ้นอย่างชัดเจน และน่าจะมีการเพิ่มกำลังซื้อให้คนในประเทศในเชิงกว้าง ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจที่เน้นลูกค้าในประเทศดีขึ้น แต่ภาคส่งออกนั้น อาจจะยังเหนื่อยอยู่ในปีนี้จากเศรษฐกิจโลกถดถอย นอกจากนั้น ควรดูโอกาสการปรับอัตราดอกเบี้ยไทย สมมติเราเชื่อเหมือนบรรดานักวิเคราะห์ว่าดอกเบี้ยไทยอาจขึ้นอีกแค่ 0.25% แล้วก็ทรงตัวนาน ซึ่งก็เป็นระดับที่ไม่สูงนัก จึงน่าจะไม่ส่งผลลบกับภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นนัก ขณะที่ธนาคารก็น่าจะได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เป็นต้น
ถ้าตามตัวอย่างข้างต้น เราคงต้องไปเลือกหุ้นธนาคาร หมวดพาณิชย์และศูนย์การค้า ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม สนามบิน ธุรกิจสื่อสาร เป็นต้น
ส่วนหุ้นที่น่าจะเลี่ยงๆ ไปก่อน เช่น หุ้นภาคส่งออก เว้นแต่รัฐบาลใหม่จะมีการสนับสนุนช่วยเหลือส่งเสริมการค้าส่งออก และมีความมุ่งมั่นหาวิธีเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศไทย หรือรอจนความกังวลเศรษฐกิจโลกถดถอยคลายตัว แบบนี้หุ้นส่งออกก็จะกลับมาอยู่ในความสนใจทันที
เมื่อได้ภาพหมวดธุรกิจที่เราสนใจแล้ว ขั้นต่อไป ก็เป็นการเลือกเป็นรายหุ้น ซึ่งใน IAA Consensus เรามีผลวิเคราะห์หุ้นในทุกหมวดที่กล่าวถึง ผมแนะนำแนวทางเลือกรายตัวตามนี้ครับ
ท้ายนี้ ผมแนบ link ให้ผู้สนใจเข้าไปดูข้อมูล IAA Consensus อย่างละเอียด เพื่อพิจารณาตัดสินใจเลือกหุ้นไทยกระจายไว้ในพอร์ต สามารถกดที่ชื่อหุ้นก็เข้าไปดูตารางรวมผลการวิเคราะห์ได้เลยครับ
https://www.settrade.com/th/research/iaa-consensus/main
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่ยังไม่มีช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการจัด Analyst Meeting จึงยังไม่มีบทวิเคราะห์ สามารถมาสมัครเป็นสมาชิกสมาคมนักวิเคราะห์ฯ เราจะช่วยแจ้งข่าวไปยังนักวิเคราะห์ได้อย่างทั่วถึง สนใจ โทร 0 2009 9292 ต่อ 3716
ขอให้โชคดีทุกท่าน พบกันครั้งหน้าที่ SET SOURCE ทุกวันจันทร์ที่ 4 ของเดือนครับ
บทความที่เกี่ยวข้อง