เรามีความรู้ทางการเงินมากแค่ไหน ?

โดย สาธิต บวรสันติสุทธิ์ นักวางแผนการเงิน CFP
SS Article Banner_1200x660 - Finlit

สาเหตุหนึ่งของปัญหาการเงิน คือการขาด“ทักษะทางการเงิน หรือ Financial Literacy” ที่ดี โดยการสำรวจทักษะทางการเงินโดย จิราภรณ์ แผลงประพันธ์ และทีม TDRI พบว่าคะแนนเฉลี่ยทักษะทางการเงินของคนไทยอยู่ที่ 62.8% ใกล้เคียงกับคะแนนทักษะทางการเงินของกลุ่มประเทศ OECD ในปี 2558 (62.9%)

แม้ว่าคะแนนทักษะทางการเงินของไทย ดูเหมือนจะใกล้เคียงกับ OECD แต่เมื่อพิจารณาในองค์ประกอบซึ่งคะแนนทักษะทางการเงินมาจาก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ “ความรู้ทางการเงิน” “พฤติกรรมทางการเงิน” และ “ทัศนคติทางการเงิน” พบว่า

“ความรู้ทางการเงิน” เป็นด้านที่คนไทยอ่อนที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 56.7% ทั้งนี้ ความรู้ทางการเงินคือทักษะในการคิดคำนวณดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยเงินกู้ ดอกเบี้ยทบต้น ความรู้เรื่องเงินเฟ้อ การกระจายความเสี่ยง และผลตอบแทนจากการลงทุน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจด้านการเงินของแต่ละคน

หลายคนอาจจะคิดในใจว่า ความรู้ทางการเงินเป็นเรื่องยาก ไม่แปลกที่คนไทยจะไม่เข้าใจ แต่จริงๆ แล้ว ความรู้ทางการเงินระดับที่นักวิจัยวัดกัน เป็นความรู้ทางการเงินพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบริหารเงินในชีวิต โดยนักวิจัยในวงการนี้มักตั้ง 3 คำถามหลักๆ เพื่อวัดระดับความรู้เรื่องทางการเงิน ดังนี้ครับ

1
ถ้าคุณมีเงิน 100 บาทในบัญชีออมทรัพย์และอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปีคุณจะมีเงินในบัญชีนี้เท่าไหร่ถ้าคุณไม่ถอนออกไปเลย
ก. มากกว่า 102 บาท
ข. 102 บาท
ค. น้อยกว่า 102 บาท
2
แล้วถ้าอัตราดอกเบี้ยเหลือแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี และอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งปี คุณจะสามารถใช้เงินในบัญชีนี้เพื่อซื้อของได้

ก. มากกว่าที่ซื้อได้ในวันนี้
ข. เท่ากับที่ซื้อได้ในวันนี้
ค. น้อยกว่าที่ซื้อได้ในวันนี้

3
ประโยคนี้จริงหรือเท็จ “การซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่งนั้นมักให้ผลตอบแทนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการซื้อกองทุนรวม”

ก. จริง
ข. เท็จ

ง่ายจนไม่ต้องเฉลยใช่ไหมครับ ข้อแรกวัดความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยทบต้น (ตอบ ก. มากกว่า 102 บาท)  ข้อสองวัดความเข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ (ตอบ ค. น้อยกว่าที่ซื้อได้ในวันนี้) ส่วนข้อสามวัดความเข้าใจเรื่องการกระจายความเสี่ยง (ตอบ ข. เท็จ) 

แต่ทราบหรือไม่ว่าคนทั่วโลกไม่ถึงครึ่งที่สามารถตอบคำถามการเงินแสนเบสิคเหล่านี้ได้

งานวิจัยในสหรัฐฯ พบว่าผู้ใหญ่เพียง 65% เท่านั้นที่เข้าใจเรื่องดอกเบี้ยทบต้น 64% ที่เข้าใจเรื่องเงินเฟ้อ และ 52% ที่เข้าใจเรื่องการกระจายความเสี่ยง

(http://gflec.orghttps://storage.googleapis.com/think-algo-com.appspot.com/www/2015/11/3313-Finlit_Report_FINAL-5.11.16.pdf?x87657)

ส่วนในประเทศไทยค่าเฉลี่ยของผู้ใหญ่ที่ตอบคำถามเหล่านี้ได้ถูกต้องอยู่ที่แค่ 27% เท่านั้น

ถ้าเราเชื่อผลวิจัยนี้ แปลว่า 7 จาก 10 คนที่เราเดินผ่าน นั้นไม่มีความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับสามเสาหลักของโลกการเงินเลยแม่แต่น้อย

ความรู้เรื่องทางการเงินตกต่ำแล้วกระทบอะไรบ้าง

1
ความยากจนในวัยชรา

ความบกพร่องทางความรู้เรื่องทางการเงินสามารถอธิบายความเหลื่อมล้ำในความมั่งคั่ง (wealth inequality) ในวัยชราได้ถึง 30 ถึง 40%

(https://www.forbes.com/sites/pensionresearchcouncil/2017/12/14/a-financial-literacy-test-that-works/)

2
ความเป็นหนี้ท่วมหัว

รายงานของธนาคารโลก พบว่าคนที่ความรู้เรื่องทางการเงินบกพร่อง โดยเฉพาะเรื่องหนี้สินในหมู่ชาวอเมริกัน ทำให้พวกเขามีภาระหนี้สูงขึ้นและมีต้นทุนในการยืมเงินสูงขึ้น

(http://documents.worldbank.org/curated/en/264001468340889422/pdf/WPS6107.pdf)

เหตุผลหนึ่งคือ พบว่า 1 ใน 3 ของชาวอเมริกันคิดว่าตนมีคะแนนเครดิตที่ดีเกินจริง โดยคนที่ความรู้เรื่องทางการเงินบกพร่องยิ่งอยู่ในกลุ่มนี้  ซึ่งทำให้พวกเขาคาดการณ์ต้นทุนทางการเงินไม่ถูก จนทำให้ใช้จ่ายหรือกู้ยืมเกินตัว

3
การคาดการณ์เงินเฟ้อคาดเคลื่อน

จุดนี้สำคัญและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เนื่องจากการคาดการณ์เงินเฟ้อโดยผู้บริโภคหรือผู้คนมากมายนั้น เป็นหนึ่งใน input สำคัญข้างในการวางแผนนโยบายการเงินหรือการวิเคราะห์โมเดลเศรษฐกิจมหภาค

ที่น่าสนใจคือ Bruine de Bruin et al. (2010) พบว่ายิ่งคนเรามีความรู้เรื่องทางการเงินน้อยเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น  คำอธิบายหนึ่งคือในกลุ่มคนที่ฐานะไม่ค่อยดีจะคิดถึงประสบการณ์ส่วนตัวในช่วงเวลาที่ราคาปรับขึ้นมากกว่าเวลาราคาปรับลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนกลุ่มที่เคยเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูงๆ มาก่อนในกลุ่มประเทศแถบลาตินอเมริกา

(https://onlinelibrary.wiley.com/doi/abs/10.1111/j.1745-6606.2010.01174.x)

เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ยิ่งจำเป็นที่พวกเราควรศึกษาหาความรู้ทางการเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นะ



บทความที่เกี่ยวข้อง