ข่าวคราววันนี้ที่เริ่มมีมาให้เห็นบ่อยๆ ก็คือ ข่าวปัญหาของผลิตภัณฑ์การเงินไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่มีข่าวปั่นหุ้นบ้าง โกงบัญชีบ้าง ฯลฯ จนสร้างความเข็ดขยาดให้กับนักลงทุนในตลาดทั่วไป แต่กับคนที่ไม่ใช่นักลงทุนในตลาดก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เพราะยังมีผลิตภัณฑ์การเงินอีกหลายอย่างที่คนทั่วไปสามารถลงทุนได้ ไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯเท่านั้น หนึ่งในผลิตภัณฑ์การเงินที่ได้รับความสนใจมาก ก็คือ หุ้นกู้ภาคเอกชน
หุ้นกู้ภาคเอกชน คือ “ตราสารหนี้" ที่ออกโดยภาคเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขอยืมเงินจากคนที่มีเงินเอามาใช้ในกิจการต่างๆ ของบริษัท เช่น เพื่อการลงทุนขยายกิจการ ซื้ออุปกรณ์ หรือเพื่อก่อสร้างโรงงาน เป็นต้น หุ้นกู้สามารถแบ่งออกเป็นหน่วยๆ แต่ละหน่วยมีมูลค่าเท่าๆ กัน ในประเทศไทยการออกหุ้นกู้โดยทั่วไปมักจะกำหนดมูลค่าหน่วยละ 1,000 บาท
ดังนั้นคนออกหุ้นกู้จึงมีฐานะเป็น “ลูกหนี้” เมื่อเราซื้อหุ้นกู้ ก็หมายความว่า เราให้บริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นๆ ยืมเงิน พูดง่ายๆ คือ เราจะอยู่ในสถานะของ "เจ้าหนี้" โดยเราคาดหวังว่าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้นั้นจะจ่ายดอกเบี้ยตามที่ตกลงกันตลอดช่วงอายุของหุ้นกู้ และจะชำระเงินต้นคืน ณ วันครบกำหนดอายุของหุ้นกู้ตามสัญญา ถ้าคนออกหุ้นกู้เกิดเบี้ยวไม่จ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนตามสัญญา ความเสียหายก็จะตกอยู่กับเราซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ไม่มีการคุ้มครอง 1 ล้านบาทเหมือนกับการฝากแบงค์หรือซื้อประกันชีวิตแต่อย่างใด โอกาสที่จะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวนยากมาก
ดังนั้น ก่อนที่จะซื้อหุ้นกู้ เราจึงต้องพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบว่า หุ้นกู้ที่เราซื้อจะมีโอกาสเบี้ยวหนี้หรือไม่ อย่าไปโลภกับดอกเบี้ยที่อาจดูน่าจูงใจ ระลึกไว้เสมอว่า ธรรมดาลูกหนี้ไม่อยากจ่ายดอกเบี้ยแพงๆ แน่นอน แต่ที่หุ้นกู้บางตัวให้ดอกเบี้ยที่สูงมากๆ ก็เพราะเป็นหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเบี้ยวหนี้สูงนั่นเอง ทำนองยิ่งให้ผลตอบแทนสูง ยิ่งมีความเสี่ยงสูง แต่ก็ไม่เสมอไปนะว่า หุ้นกู้ที่ให้ดอกเบี้ยถูก จะไม่เสี่ยงหรือมีความเสี่ยงต่ำ แล้วอย่างนี้เราจะดูอย่างไรว่าหุ้นกู้ตัวไหนมีความเสี่ยงที่จะเบี้ยวหนี้
วิธีดูก็เหมือนกับการที่เราจะให้เพื่อนยืมเงินนั่นแหละ คือ ดูที่กายกับใจ
คือ ดูว่าเพื่อนคนนี้ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้หรือไม่ จะดูยังไง ก็ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ถ้าเพื่อนคนนี้เครดิตดี ซื่อสัตย์ ก็น่าจะไว้ใจได้ กรณีหุ้นกู้ก็เช่นกัน เราต้องพิจารณาพฤติกรรมที่ผ่านมาของเจ้าของ ผู้บริหารบริษัทว่าเป็นคนที่มีเครดิตดี ซื่อสัตย์หรือไม่ ถ้ามาทำนอง “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” เราก็ “ไม่ให้ยืม” จะดีกว่า
เบี้ยวเราก็หนักแล้ว ถ้าเบี้ยวสรรพากร หนีภาษี เสียภาษีไม่ครบ คือ ระเบิดเวลาดีๆ สรรพากรตรวจพบอาจถึงกับล้มละลายได้ ถ้าเป็นบริษัท เราควรดูงบการเงิน อย่างน้อยดูว่างบนั้นคนทำบัญชี กับผู้สอบบัญชี น่าเชื่อถือหรือไม่
คือ ดูความสามารถในการชำระหนี้ของเพื่อนว่ามีมากน้อยแค่ไหน เราวางใจได้แค่ไหนว่าเพื่อนจะมีเงินมาใช้คืนเรา จะดูว่าคนออกหุ้นกู้มีความสามารถจ่ายคืนหนี้มากน้อยแค่ไหน จะดูอย่างไร
ยิ่งค่าใช้จ่ายยิ่งมาก กำไรจะเหลือน้อย ยิ่งค่าใช้จ่ายคงที่ ประเภทที่ไม่ว่าจะขายได้มากหรือน้อย ก็ต้องจ่ายอยู่ดี แถมยังต้องจ่ายเพิ่มทุกๆ ปี อย่างเช่น ค่าเงินเดือนพนักงาน ถ้ายิ่งมาก ธุรกิจยิ่งมีโอกาสมีปัญหา
อาจดูแล้วยุ่งยาก แต่เงินเราหายากกว่าเยอะ ถ้ามักง่ายในการลงทุน เงินก็จะหายได้ง่ายๆ เหมือนกัน ถ้าคิดว่ายุ่งยาก ก็อย่าเสี่ยงกับดอกเบี้ยที่ได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเลย รักษาเงินต้นเราไว้ดีกว่า แต่ถ้าอยากลงทุนมากจริงๆ ก็ลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารจัดการให้ ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
บทความที่เกี่ยวข้อง