สรุปประเด็นสำคัญ:
จากการศึกษา “ธุรกิจครอบครัว” (family business) ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) จำนวน 791 บริษัท พบว่า
- 57% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยทั้งหมดที่เป็นธุรกิจครอบครัว มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด รวม 43% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด กระจายตัวในเกือบทุกหมวดธุรกิจ ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดการแพทย์ และกลุ่มบริการในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ
- ธุรกิจครอบครัวอาศัยกลไกระดมทุนในตลาดหุ้นไทย เสริมสร้างความเติบโตของกิจการ ซึ่งพบว่า บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากขนาดของกิจการ การระดมทุน การสร้างรายได้และการสร้างผลกำไร โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา มีธุรกิจครอบครัว 149 บริษัท มีมูลค่าระดมทุนครั้งแรกรวมกว่า 308,306 ล้านบาท คิดเป็น 58% ของมูลค่าระดมทุนทั้งหมด
- บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวให้ความสำคัญกับการเติบโตยั่งยืน โดยพบว่า 86 บริษัท ผ่านการคัดเลือกและอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2565 (จากรายชื่อทั้งหมด 170 บริษัท) โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม 42 ล้านล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด
- บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- ในปี 2565 บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีรายได้รวมสูงถึง 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และ จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมสูงกว่า 101,589 ล้านบาท คิดเป็น 13.6% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งระบบที่กรมสรรพากรจัดเก็บ
- ณ สิ้นปี 2564 บริษัทจดทะเบียนเหล่านี้มีการจ้างพนักงานรวมสูง 925,256 คน โดยเฉพาะการจ้างงานในกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง และกลุ่มบริการ ที่บริษัทเหล่านี้มีการจ้างพนักงานในสัดส่วนที่สูงกว่า 60% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดที่มีการจ้างงานในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ
หากทุกภาคส่วนช่วยกันเสริมสร้างให้ “ธุรกิจครอบครัว” ในประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่ง เท่ากับว่าเราช่วยกันสร้างฟันเฟืองสำคัญอีกตัวหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย