โควิดไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจล้มหาย คนตกงาน บางคนที่โชคร้ายถึงขั้นเสียชีวิตเลยก็มี คนที่มีทรัพย์สินเยอะ ลูกหลานก็คงไม่เดือดร้อน (ถ้าไม่ทะเลาะแย่งมรดกกันเอง) ส่วนคนทำงานเป็นลูกจ้าง ลำพังเงินเดือนที่ได้ก็แทบไม่พอใช้ ตายไปลูกหลานจะเอาจากไหนมาใช้จ่าย
อย่าเพิ่งหมดหวังนะ พวกเราคนที่เป็นพนักงานกินเงินเดือน หรือลูกจ้างแบบพนักงานรายวัน เรายังมีกองทุนประกันสังคมเป็นมรดกให้ลูกได้ ตรงนี้ผู้ประกอบการบางรายยังมีความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง คิดว่าการจ้างลูกจ้างแบบเป็นพนักงานรายวันไม่ใช่รายเดือนแล้วจะไม่ต้องขึ้นทะเบียนเข้าระบบประกันสังคม ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดเพราะไม่ว่าลูกจ้างจะเป็นพนักงานรายวันหรือรายเดือนก็ตาม หากมีการจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ก็ถือว่าต้องขึ้นทะเบียนเป็นนายจ้าง และลูกจ้างก็ต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนด้วยเช่นกัน ยกเว้นกิจการที่เป็นข้อยกเว้นเท่านั้น
ทั้งนี้ กองทุนประกันสังคมได้ให้สิทธิประโยชน์คุ้มครองผู้ประกันตนในกรณีเสียชีวิตที่ไม่ได้เกิดจากการทำงาน คือเมื่อผู้ประกันตนถึงแก่ความตาย ทายาทของผู้ประกันตน สามารถรับสิทธิประโยชน์ 3 อย่าง คือ ค่าทำศพ เงินสงเคราะห์ และเงินบำเหน็จชราภาพ
ผู้ประกันตนมาตรา 33 คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ในวันเข้าทำงาน และทำงานอยู่ในสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง ตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป
ผู้ประกันตนมาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนที่ลาออกจากงาน แต่ต้องการรักษาสิทธิประกันสังคมให้ต่อเนื่องโดยสมัครใจ และมีเงื่อนไขคือ ต้องนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน ไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพจากกองทุนประกันสังคม
กรณีที่ผู้ประกันตน ม.33 ม.39 ถึงแก่ชีวิต โดยไม่ใช่เหตุที่มาจากการทำงาน และได้มีการจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนเดือนที่เสียชีวิต สิทธิที่จะได้รับมีดังนี้
เป็นเงินที่ทางประกันสังคมจ่ายเพื่อช่วยเหลือการจัดการศพของผู้ประกันตน เป็นจำนวน 50,000 บาท ให้กับผู้จัดการศพ ผู้จัดการศพ คือบุคคลที่ผู้ประกันตนทำหนังสือระบุไว้ แต่หากผู้ประกันตนจะไม่ได้ระบุไว้ จะดำเนินการจ่ายให้กับผู้ที่จัดการศพจริง โดยต้องมีเอกสารระบุจากสถานที่จัดการศพ ทั้งนี้ ต้องได้จ่ายเงินสมทบอย่างน้อย 1 ใน 6 เดือน ก่อนเดือนที่เสียชีวิต ซึ่งอาจเป็นบุคคลต่างๆ ดังต่อไปนี้
เป็นเงินที่สำนักงานประกันสังคมจะจ่ายให้แก่บุคคลที่ผู้ประกันตนได้ทำหนังสือระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ แต่หากผู้ประกันตนไม่ได้ทำหนังสือระบุชื่อใครไว้ สำนักงานประกันสังคมจะนำเงินสงเคราะห์นั้นมาเฉลี่ยจ่ายให้กับสามีหรือภรรยา บิดา มารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนเท่าๆ กัน
***เงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายนั้นจะจ่ายตามจำนวนและระยะเวลาที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบไว้ก่อนถึงแก่ความตาย ดังนี้
ตัวอย่างเช่น
ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 จะได้รับ 9,600 บาท มาจากฐานค่าจ้าง 4800 บาท x 50% x 4 = 9,600 บาท
ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 39 จะได้รับ 28,800 บาท มาจากฐานค่าจ้าง 4,800 บาท x 50% x 12 = 28,800 บาท
ผลประโยชน์กรณีชราภาพประกันสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ เงินบำเหน็จชราภาพ กับเงินบำนาญชราภาพ โดยผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิ และจะได้รับสิทธิต่อเมื่อตรงตามเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ประกอบด้วย
1.อายุครบ 55 ปีบริบูรณ์และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
2.เป็นผู้ทุพพลภาพ
3.เสียชีวิต
มีหลักเกณฑ์การจ่ายเงิน ดังนี้
กรณีบำเหน็จชราภาพ (รับเงินก้อน)
กรณีบำนาญชราภาพ (รับเงินเป็นรายเดือนตลอดชีวิต)
เงื่อนไขการรับประโยชน์บำเหน็จชราภาพ
สรุป หากพวกเรามนุษย์เงินเดือนหรือพนักงานรายวัน ก็ยังมีมรดกให้ลูกหลานได้โดยสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคม 3 ก้อน คือ ค่าทำศพ เงินสงเคราะห์ และบำเหน็จชราภาพ อย่าลืมบอกลูกหลานไว้นะ ไม่งั้นจะเสียประโยชน์ที่ควรได้ เพราะไม่รู้อย่างน่าเสียดาย
*กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565
บทความที่เกี่ยวข้อง